ผาหัวนาค

จุดชมวิวผาหัวนาค

จุดชมวิวผาหัวนาค

“จุดชมวิวผาหัวนาค” มอหินขาว จ.ชัยภูมิ ผาหัวนาค เป็นจุดสูงสุดของมอหินขาว ที่นี่เป็นลานหินขนาดใหญ่ เต็มไปด้วยชะง่อนผาตลอดแนวสันเขา มีต้นไม้ขึ้นแซมๆ บริเวณรอยแยกของแผ่นหินเป็นระยะๆ อยู่ห่างออกไปทางทิศตะวันตกประมาณ 1500 เมตร มีลักษณะเป็นลานหินขนาดใหญ่ ที่บางคนเรียกว่า “ผากล้วยไม้” เพราะลานหินแห่งนี้เป็นหน้าผาที่เต็มไปด้วยกล้วยไม้ และดอกไม้ป่าขึ้นอยู่มากมายอาทิเอื้องหมายนา เอ้องม้าวิ่ง กระดุมเงิน โดยในช่วงปลายฝนต้นหนาวระหว่าง ก.ย.-ต.ค. กล้วยไม้ที่นี่จะออกดอกบานสะพรั่งให้สีสันสดใสอยู่ดาษดื่น ผาหัวนาคเป็นส่วนหนึ่งของ มอหินขาว อุทยานแห่งชาติภูแลนคา จุดชมวิวที่สวยงาม ทั้งสูงและเสียว ชมทิวทัศน์ในความสูงจากระดับน้ำทะเลปานกลาง 905 เมตร เป็นหน้าผาหินที่ยื่นออกไปเล็กน้อย พอให้ถ่ายรูปเล่นได้ ผาหัวนาคเป็นส่วนหนึ่งของมอหินขาว ใช้เส้นทางเดินทางเดียวกันกับมอหินขาวซึ่งเป็นทางราดยางตลอด ในฤดูฝนจะมีดอกไม้ป่าบานสะพรั่ง และมีโอกาสได้เห็นทะเลหมอกในยามเช้า ผาหัวนาคอยู่ห่างจากมอหินขาวกลุ่มหินโขลงช้างประมาณ 4 กิโลเมตร สามารถมองเห็นวิวของเมืองที่ด้านล่างได้ ฝั่งตรงข้ามของผาหัวนาคคือเทือกเขาพังเหย บนเทือกเขาที่เป็นที่ตั้งของมอหินขาวมียอดเขาเป็นพื้นที่ลาดเอียง ฝั่งผาหัวนาคอยู่สูงกว่ามอหินขาวมาก จึงมองย้อนลงไปเส้นทางที่เรามาได้ชัดเจน จากมอหินขาวมาที่ผาหัวนาค รถใช้เวลาไม่ถึงสิบนาที จึงเหมาะที่จะเป็นแหล่งท่องเที่ยวอีกแห่งหนึ่งที่คนมาเที่ยวจะได้ชมวิวทั้งพระอาทิตย์ขึ้นและพระอาทิตย์ตกในที่เดียวกัน

มอหินขาว

มอหินขาว

ดูดาวตกที่มอหินขาว

“มอหินขาว” เป็นแหล่งท่องเที่ยวในเขตอุทยานแห่งชาติภูแลนคา ตั้งอยู่ที่บ้านวังคำแคน หมู่ 9 ต.ท่าหินโงม อ.เมือง เป็นกลุ่มหินทรายสีขาวขนาดใหญ่กลางทุ่งหญ้าบนเนินเขา มองเห็นได้เด่นชัดในระยะไกล ลักษณะคล้ายสโตนเฮนจ์ ของประเทศอังกฤษ มีอายุระหว่าง 175-197 ล้านปี เกิดจากการสะสมตะกอนทรายแป้งและดินเหนียวจากทางน้ำต่อมาสภาพแวดล้อมเปลี่ยนแปลง การตกตะกอนเปลี่ยนเป็นทราย ในสภาวะอากาศแบบแห้งแล้งกึ่งร้อนชื้นทับถมลงบนตะกอนทรายแป้งและดินเหนียวที่เกิดก่อนจึงแข็งตัวกลายเป็นหิน หลังจาก 65 ล้านปีที่ผ่านมา เกิดการเคลื่อนไหวของเปลือกโลกจากแรงบีบด้านข้างทำให้มีการคดโค้ง แตกหัก ผุพังและการกัดเซาะทั้งในแนวตั้งและแนวนอน ก่อให้เกิดลักษณะของเสาหินและแท่งหินอย่างที่เห็นในปัจจุบันซึ่งอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติภูแลนคา ต.ท่าหินโงม อ.เมือง จ.ชัยภูมิ ซึ่งจะมีกลุ่มหินทรายขาวที่เกิดจากการสะสมของตะกอนทรายและดินเหนียวแข็งตัวกลายเป็นหิน ซึ่งหินยักษ์ที่ตั้งอยู่นี้มีความสูงประมาณ 12 เมตร ส่วนต้นที่มีขนาดใหญ่ที่สุดมีขนาดเท่า 22 คนโอบ หากนักท่องเที่ยวมาชมยามเช้ามืดจะมองเห็นพระอาทิตย์ขึ้นด้วยบรรยากาศที่สวยงาม


แสงเช้าที่มอหินขาว

หากเป็นช่วงที่มีสภาพอากาศหนาวจะเหมาะแก่การขึ้นไปท่องเที่ยวมาก แต่ไม่เพียงแค่หินยักษ์ 5 ก้อนที่มอหินขาวเท่านั้น ถัดขึ้นไปบนภูอีกไม่เกิน 1 กิโลเมตร ผ่านจุดกางเต็นท์ของนักท่องเที่ยวขึ้นไปจะเป็นหินกลุ่มที่ 2 เรียกว่า หินเจดีย์และหินโขลงช้าง ต่อด้วยหินกลุ่มที่ 3 เรียกว่าหินต้นไทร ซึ่งจะเป็นหินที่มีลักษณะตามชื่อเรียกของหินที่กล่าวมา นอกจากนี้หากขับรถผ่านหินทั้ง 3 กลุ่มนี้ขึ้นไปอีก 500 เมตรจะเป็นจุดชมวิวชื่อว่าผาหัวนาค สูงจากระดับน้ำทะเลปานกลาง 905 เมตร เหมาะขึ้นไปดูพระอาทิตย์ยามเย็น เพราะสามารถมองเห็นวิวด้านล่างซึ่งเป็นเมืองชัยภูมิอย่างชัดเจน
ในทุกปีช่วงที่มีอากาศหนาว จ.ชัยภูมิจะมีการจัดกิจกรรมส่งเสริมการท่องเที่ยว มหัศจรรย์มอหินขาว รับลมหนาวที่ชัยภูมิ เพื่อเป็นการเชิญชวนให้นักท่องเที่ยวเดินทางไปสัมผัสกับอากาศหนาวยามเช้า ชมพระอาทิตย์ตกดินและนอนดูดาว โดยในห้วงหน้าหนาวจะมีปรากฏการณ์ฝนดาวตกคนคู่เกิดขึ้น หากมองจากมอหินขาวจะสามารถมองเห็นได้ชัดเจน
ส่วนการเดินทางไปชมแหล่งท่องเที่ยวผามอหินขาวจาก ตัว จ.ชัยภูมิ ใช้เส้นทางหลวงหมายเลข 2051 ถนนสายชัยภูมิ-ตาดโตน เป็นทางลาดยางระยะทางประมาณ 18 กิโลเมตร เลี้ยวซ้ายก่อนถึงด่านของอุทยานแห่งชาติตาดโตน ตามถนนตาดโตน-ท่าหินโงม เป็นทางลาดยางประมาณ 12 กิโลเมตร แยกซ้ายตามถนนแจ้งเจริญ-โสกเชือก เป็นทางลูกรัง ระยะทาง 6.5 กิโลเมตรถึงบ้านวังคำแคน จากนั้นเลี้ยวขวาตรงบ้านวังคำแคน เป็นทางลูกรังใช้สำหรับขนพืชไร่อีกประมาณ 3.5 กิโลเมตรถึงกลุ่มหินชุดแรกของมอหินขาว รวมระยะทางประมาณ 40 กิโลเมตรจากตัวเมือง

ก่อนแสงเช้าที่มอหินขาว

บึงละหาน

บึงละหาน

บึงละหาน

บึงละหาน เป็นแหล่งน้ำธรรมชาติมีเนื้อที่กว้างใหญ่ เป็นทะเลสาบน้ำจืดที่ใหญ่ที่สุดอันดับ 3 ของประเทศไทย 18,181 ไร่ เป็นแหล่งทรัพยากรธรรมชาติอันอุดมสมบูรณ์และยังมีระบบนิเวศที่ดี บึงละหานได้รับเลือกให้เข้าอยู่ในทะเบียนรายนามพื้นที่ชุ่มน้ำที่มีความสำคัญระดับนานาชาติของไทย ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2543 เรื่อง ทะเบียนรายนามพื้นที่ชุ่มน้ำที่มีความสำคัญระดับนานาชาติและระดับชาติของประเทศไทย และมาตรการการอนุรักษ์พื้นที่ชุ่มน้ำ เพื่อเสนอขอขึ้นทะเบียนเป็นพื้นที่ชุ่มน้ำสำคัญระดับนานาชาติ (Ramsar Site) ต่อสำนักงานเลขาธิการอนุสัญญาว่าด้วยพื้นที่ชุ่มน้ำ ซึ่งเป็นผลมาจากการที่ประเทศไทยได้เข้าร่วมเป็นสมาชิกภาคีของอนุสัญญาแรมซาร์ (Ramsar Convention) อนุสัญญาว่าด้วยพื้นที่ชุ่มน้ำที่มีความสำคัญในระดับนานาชาติ โดยเฉพาะในการเป็นถิ่นที่อยู่ของนกน้ำ (The Convention on Wetlands of International Importance, especially as Waterfowl Habitat.) และเมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน 2552 มีมติคณะรัฐมนตรี การทบทวนมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2543 บึงละหานจึงยังไม่ได้อยู่ในทะเบียนรายชื่อของสำนักงานเลขาธิการอนุสัญญาว่าด้วยพื้นที่ชุ่มน้ำ แต่เพื่อเป็นการอนุรักษ์แหล่งเพาะพันธ์และอนุบาลสัตว์น้ำจึงมีการกำหนดจุดอนุรักษ์จำนวน 2 จุด คือบริเวณศาลเจ้าพ่อหาญคำและบริเวณวิจัยประมงน้ำจืดจังหวัดชัยภูมิ และขอความร่วมมือชาวประมงไม่ให้จับสัตว์น้ำในบริเวณจุดอนุรักษ์ดังกล่าว
บึงละหาน ครอบคลุมพื่นที่ 4 ตำบลในอำเภอจัตุรัส จังหวัดชัยภูมิ ได้แก่ ตำบลละหาน ตำบลหนองบัวใหญ่ ตำบลหนองบัวบาน ตำบลลุ่มลำชี โดยมีพื้นที่ส่วนใหญ่อยู่ในบริเวณตำบลละหาน อำเภอจัตุรัส จังหวัดชัยภูมิ มีเนื้อที่ 29.09 ตารางกิโลเมตร (18,181 ไร่) สูงจากระดับน้ำทะเลโดยเฉลี่ย 190 เมตร ลักษณะภูมิประเทศ บึงละหานมีลักษณะเป็นที่ลุ่มคล้ายแอ่งกระทะเอียงไปทางด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือ บริเวณพื้นที่ทิศตะวันตกมีพื้นที่มากกว่าด้านอื่น
สภาพเดิม เป็นหนองน้ำหลายแห่งที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียงกัน ในฤดูน้ำหลากน้ำจะไหลเข้ามาจากลำห้วยต่างๆเช่น ห้วยลำคันฉู ห้วยหลัว ห้วยยาง ห้วยตาแก้ว เป็นต้น ทำให้ปริมาณน้ำในหนองเออเข้าหากันรวมเป็นหนองขนาดใหญ่ เรียกว่า บึงละหาน ภายในบริเวณบึงมีเกาะที่เกิดจากน้ำท่วมไม่ถึงซึ่งชาวบ้านเรียกว่าโนน เช่น โนนจาน โนนงิ้ว และน้ำในบึงจะใหลลงแม่น้ำชีในที่สุด เนื่องจากบึงละหานเป็นแหล่งน้ำตามธรรมชาติไม่มีระบบกักเก็บน้ำไว้ใช้ในฤดูแล้งน้ำในบึงจึงลดลงมากจนมีสภาพตื้นเขินสามารถนำปศุสัตว์ลงหากินและทำเกษตรได้ในบางพื้นที่
สภาพปัจจุบัน บึงละหาน ได้รับการพัฒนาให้มีคันดินล้อมรอบบริเวณบึง มีฝายน้ำล้นกักเก็บน้ำและมีประตูเปิดปิดน้ำไว้ไม่ให้ไหลลงลำน้ำชีเร็วเกินไปเพื่อกักเก็บน้ำไว้ใช้ในการอุปโภคบริโภคหล่อเลี้ยงชาวจังหวัดชัยภูมิ เพื่อการเกษตร การประมง และเพื่อป้องกันการบุกรุกพื้นที่บึงละหาน บึงละหานจึงกลายเป็นบึงขนาดใหญ่ มีน้ำตลอดทั้งปี ระดับน้ำลึกที่สุดประมาณ 1.5 – 4 เมตร และยังคงมีแกาะกลางน้ำที่น้ำท่วมไม่ถึงอยู่เช่นเดิม เกาะที่ใหญ่ที่สุดประมาณ 0.3 ตารางกิโลเมตร (187.5 ไร่) มีป่าละเมาะขึ้นที่โดยรอบจะมีลักษณะเกาะจะค่อนข้างเรียบลักษณะดินโดยรอบเป็นดินที่ที่มีการทับถมของซากพืชจึงมีความอ่อนตัวของดิน จากสภาพเดิมของบึงละหานที่เป็นบึงน้ำตามธรรมชาติ ในฤดูน้ำหลากน้ำจะเออเข้าท่วมหมู่บ้านโดยรอบเป็นประจำทุกปี
บึงละหานมีระบบนิเวศที่มีความสภาพสมบูรณ์ ยังมีความอุดมสมบูรณ์อยู่มากทำให้มีนกหลากหลายสายพันธุ์เข้ามาอาศัยอยู่ในพื้นที่ ซึ่งพบอย่างน้อย 56 ชนิด นกประจำถิ่น 24 ชนิด นกน้ำและนกชายเลน 27 ชนิด นกอพยพแต่มิใช่เพื่อการผสมพันธุ์ 29 ชนิดได้แก่ นกยางโทนน้อย นกยางโทนใหญ่ นกยางเปีย นกยางไฟธรรมดา นกยางไฟหัวดำ นกอพยพเพื่อการผมพันธ์ 1 ชนิด ได้แก่ นกแอ่นทุ่งใหญ่ นกอพยพตามฤดูกาล 1 ชนิด ได้แก่ นกแซงแซวหางปลา นกที่อยู่ในสภาพใกล้สูญพันธุ์ ได้แก่ นกกระสานวล นกกระสาแดง นกกระแตหาง นกที่อยู่ในสภาพใกล้สูญพันธุ์อย่างยิ่ง ได้แก่ นกกระแตผีใหญ่ นกที่พบมาก ได้แก่ นกนางแอ่นทุ่งใหญ่ เป็ดแดง
บึงละหานมีอาณาบริเวณที่กว้างใหญ่และมีน้ำตลอดทั้งปี ทำให้ปลาสามารถอาศัยและขยายพันธุ์ได้ดี พบปลาอย่างน้อย 25 ชนิด ชนิดที่อยู่ในสภาพมีแนวโน้มใกล้สูญพันธุ์ ได้แก่ ปลาดุกด้าน ปลาในวงศ์ปลาตะเพียน พบ 9 ชนิด ปลาในวงศ์ปลาหมอ พบ 3 ชนิด ปลาเศรษฐกิจ ได้แก่ ปลาสลาด ปลาสูบจุด ปลาตะเพียนขาว ปลาสร้อยขาว ปลาสร้อยนกเขา ปลาหมอช้างเหยียบ ปลาช่อน (ข้อมูลอ้างอิงจาก Wikipedia)

พระธาตุเจดีย์วัดแก้วฟ้าจุฬามณี

พระธาตุเจดีย์วัดแก้วฟ้าจุฬามณี

พระธาตุเจดีย์วัดแก้วฟ้าจุฬามณี

ตั้งอยู่ในพื้นที่ของวัดบ้านหนองแวง ต.ซับสีทอง อ.เมือง จ.ชัยภูมิ เป็นเจดีย์เก่าแก่ที่น้อยคนจะทราบว่ามีอยู่ในจังหวัดชัยภูมิ ด้านในประดิษฐานพระพุทธศาสดาแลนคาโลกนาถไว้ในชั้นที่ 1 ซึ่งหล่อด้วยทองเหลืองรมดำ สูง 6.49 เมตร สร้างขึ้นเพื่อบรรจุพระบรมสาริกธาตุ (ส่วนเกศาธาตุ) ที่พระหลวงปู่บุญมา ถาวโร ได้อัญเชิญมาจากประเทศอินเดีย ขณะท่านธุดงค์ปฏิบัติธรรมอยู่ที่ประเทศอินเดียเมื่อ 70 กว่าปีที่ผ่านมา งานก่อสร้างพระธาตุเริ่มดำเนินการมาตั้งแต่วันเสาร์ที่ 19 มกราคม 2545 องค์พระธาตุสูง 25.45 เมตร
ทำไมพระบรมสารีริกธาตุ(ส่วนเกศาธาตุ) จึงให้ปู่หลวงบุญมา นำเอามาสร้างพระธาตุเจดีย์ตรงนี้ ก็เพราะว่าสถานที่แห่งนี้องค์สมเด็จพระศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ก่อนๆ เคยเสด็จมาสร้างปูชนียวัตถุและปูชนียสถานสืบต่อเนื่องกันมาทุกๆ พระองค์ แต่เมื่อถึงกาลเวลาก็เสื่อมสลาย บุบสลาย ยุบพังตามกาลเวลาของโลกธาตุ สำหรับตถาคตองค์พระสมณโคดม ได้เคยเสด็จมากับพระอานนท์ พระอรหันต์ 500 รูป มากับพระมหากัสปะเถระเจ้าในอดีต ได้พยากรณ์ไว้ว่า สถานที่แห่งนี้ต่อไปจะเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์และเจริญรุ่งเรือง หลังกึ่งพุทธกาลล่วงแล้ว จะมีผู้มีบุญญาธิการมาทำนุบำรุงสืบทอดพระพุทธศาสนาต่อไป หลังจากนั้นก็ได้มีหลวงปู่เทพโลกอุดร หลวงปู่ละมัย หลวงปู่บุญมา ได้มาดูแลสถานที่แห่งนี้ก่อนแล้วหลายครั้ง หลวงปู่เทพโลกอุดรจึงได้ให้หลวงปู่บุญมา ธุดงค์รอนแรมไปยังประเทศอินเดีย เพื่อไปรับพระบรมสารีริกธาตุ(ส่วนพระเกศาธาตุ) ซึ่งพระอินทร์ได้อัญเชิญมาจากชั้นดาวดึงส์ (พระธาตุเกศแก้วจุฬามณี) โดยแบ่งมาส่วนหนึ่ง แล้วมอบไว้กับพระอรหันต์รูปหนึ่งในอินเดียขณะนั้น รักษาไว้ให้หลวงปู่บุญมา เมื่อเดินทางมาถึงและปฏิบัติธรรมอยู่ช่วงหนึ่ง เพื่อนำกลับประเทศไทย และเมื่อถึงเวลาอันควร ก็ให้สร้างพระธาตุเจดีย์บรรจุไว้ เพื่อให้เทพเทวา มนุษย์และสัตว์โลกทั้งหลายได้กราบไหว้สักการะบูชาสืบทอดพระพุทธศาสนาสืบต่อจนถึงยุคพระศรีอริยเมตตรัย และรอบๆ พระธาตุเกศแก้วจุฬามณีที่กำลังสร้างอยู่จะเป็นบ้านเมืองที่มีศีลมีธรรม น้ำท่าจะอุดมสมบูรณ์ ฝนฟ้าจะตกตามฤดูกาล กษัตราธิราชทั่วทุกมุมโลกก็จะได้เดินทางมานมัสการพระธาตุองค์นี้เป็นลำดับไป พุทธศาสนิกชนทั่วไปก็จะทยอยกันมากราบไหว้สักการะบูชาและปฏิบัติธรรมมากขึ้นเป็นลำดับๆไป
พระอริยเจ้าทั้งหลายทั่วทั่งประเทศไทยและทั่วมุมโลก จะหมุนเวียนกับมาปฏิบัติธรรมมิได้ขาดสาย จะมีพระผู้มีบุญญาธิการมาช่วยดูแลรักษาต่อ ๆ ไปหลายองค์ ขณะนี้หลวงปู่ละมัย ดูแลอยู่ และเมื่อถึงเวลาอันควรก็จะมีองค์อื่นๆ หมุนเวียนกันมาดูแลต่อ ๆ ไป หลวงปู่เทพโลกอุดรยังดูแลตลอด ตามที่ท่านอธิษฐานดูแลพระพุทธศาสนาไว้ทุกกาลทุกเมื่อ เนื่องจากหลวงปู่บุญมา ถาวโร อายุ 108 ปี 83 พรรษา อดีตเจ้าอาวาสวัดแกนคงคาวนาราม บ้านหนองแวง หมู่ที่ 3 ตำบลซับสีทอง อำเภอเมือง จังหวัดชัยภูมิ ได้อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุ มาจากประเทศอินเดีย มาเก็บรักษาไว้ เมื่อ 70 ปีที่ผ่านมา ประกอบกับเมื่อปี พ.ศ. 2545 หลวงปู่บุญมา ถาวโร ท่านก็ชราภาพมากแล้ว ท่านจึงปรารภว่า ถึงเวลาอันสมควรแล้วที่จะได้ร่วมกันสร้างพระธาตุเจดีย์ขึ้น เพื่อบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ ดังกล่าว เพื่อให้เทพเทวาและมนุษย์ทั้งหลายได้สักการะบูชา ตลอดทั้งสัตว์โลกทั้งปวง เพื่อเป็นศิริสวัสดิ์พิพัฒนมงคลจนกว่าจะถึงซึ่งพระนิพพาน ทางคณะสงฆ์วัดแดนคงคาวนาราม คณะกรรมการวัด คณะกรรมการก่อสร้างพระธาตุเกศแก้วจุฬามณี พ่อค้าประธาน จึงได้ร่วมกันทำโครงการก่อสร้างพระเจดีย์ขึ้น โดยหลวงปู่บุญมา ถาวโร ให้ชื่อเรียกพระธาตุเจดีย์นี้ว่า พระธาตุเกศแก้วจุฬามณี มีฐานกว้าง 5.50 เมตร สูง 25.45 เมตร ไม่รวมยอดฉัตร ดำเนินการก่อสร้างโดย คณะกรรมการก่อสร้างพระธาตุเกศแก้วจุฬามณี ได้กระทำพิธืวางศิลาฤกษ์ เมื่อ 19 มกราคม 2545 หลวงปู่ บุญมา ถาวโร เป็นประธานในพิธี

สำนักสงฆ์วัดเขาจอมจ้อง (จูมฆ้อง)

สำนักสงฆ์วัดเขาจอมจ้อง (จูมฆ้อง)

สำนักสงฆ์วัดเขาจอมจ้อง (จูมฆ้อง)

ตั้งอยู่ในพื้นที่ของตำบลภูแลนคา อำเภอบ้านเขว้า จังหวัดชัยภูมิ บนถนนทางหลวงสาย 3019 เช่นเดียวกับเส้นทางไปหนองไม้ตาย ห่างจากตัวเมืองชัยภูมิประมาณ 40 กิโลเมตร ลักษณะเป็นสำนักสงฆ์ปฏิบัติธรรมอุโบสถสีขาวล้วน ยอดแหลมจำนวน 3 ยอด ด้านล่างเป็นอาคารโล่งมุขประตู 4 ด้าน เรียกว่า พระมหาเจดีย์ศรีจันทรา ด้านในประดิษฐานพระพุทธรูป ส่วนชั้นบนสุดประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ ตั้งอยู่บนยอดเขาชื่อว่าเขาจูมฆ้องหรือจอมจ้อง ที่มองเห็นได้รอบทิศทางระยะไกลอย่างสวยงามเด่นสะดุดตา รอบๆ อุโบสถเป็นระเบียงรอบด้านสำหรับชมวิวได้โดยรอบ 360 องศาจากยอดเขาสวยงาม บรรยากาศลมเย็นสบาย จุดชมวิวด้านหนึ่งติดกับอำเภอหนองบัวแดง อีกด้านหนึ่งติดต่ออำเภอภักดีชุมพล วิธีการขึ้นไปสักการะจะต้องเดินขึ้นบันไดพญานาคประมาณ 200 กว่าขั้น แม้ทางขึ้นจะเหน็ดเหนื่อยลำบากบ้าง แต่หากได้ขึ้นไปชมวิวและสักการะบนยอดเขาแล้ว จะอิ่มเอิบใจกับวิวที่สวยงาม (พิกัด @15.9011695,101.7650386)

พุทธอุทยานหินเหิบซับภูทอง

พุทธอุทยานหินเหิบซับภูทอง

พุทธอุทยานหินเหิบซับภูทอง อ.ภักดีชุมพล

ตั้งอยู่ในพื้นที่ของบ้านซับภูทอง ตำบลแหลมทอง อำเภอภักดีชุมพล จังหวัดชัยภูมิ พุทธอุทยานหินเหิบซับภูทอง เป็นสถานปฏิบัติธรรมที่มียอดสีทองสวยงามมาก มองเห็นเด่นมาแต่ไกล ตำแหน่งพุทธอุทยานหินเหิบ-ซับภูทอง เป็นตำแหน่งเดียวกันกับวัดเวฬุวัน ในสมัยพุทธกาล ทิศตะวันออกเฉียงใต้ เป็นเขาคิชฌกูฏ ที่แปลว่ายอดเขาที่มีลักษณะคล้ายแร้งกระพือปีก ด้านทิศเหนือคือกรุงราชคฤห์ ( ถ้ำวัวแดง ถ้ำแสงจันทร์) พระเจ้าพิมพิสาร พระเจ้าจักรพรรดิราช แห่งกรุงราชคฤห์ ทรงให้กวีแต่งเพลงพรรณาถึงความสวยงามของวัดเวฬุวันร้องกัน เพื่อให้พระนางเขมาอัครมเหสีของพระเจ้าพิมพิสารได้ยิน และอยากเสด็จไปวัดเวฬุวัน จุดเด่นของที่นี่คือจุดชมวิวโดยรอบพุทธอุทยานบนยอดพระเจดีย์เก้าองค์ มีพระพุทธรูปประดิษฐานให้สักการะเพื่อเป็นสิริมงคล

ทุ่งดอกดาวเรือง

ทุ่งดอกดาวเรือง

ทุ่งดอกดาวเรือง อ.ภักดีชุมพล

ในพื้นที่ของตำบลแหลมทอง อำเภอภักดีชุมพล จังหวัดชัยภูมิ บริเวณก่อนถึงพุทธอุทยานหินเหิบซับภูทอง จ.ชัยภูมิ มีชาวบ้านที่ยังคงทำการเกษตรแบบดั้งเดิมให้พบเห็นได้มากมาย แต่ที่สะดุดตาผู้ที่สัฐญจรผ่านไปมา โดยเฉพาะผู้ที่จะไปสักการะทำบุญที่พุทธอุทยานหินเหิบซับภูทองแล้วนั้น มักจะได้เห็นการปลูกดอกดาวเรืองเป็นทุ่งใหญ่จำนวนหลายทุ่งอย่างสวยงามอลังการ โดยเฉพาะมุมในภาพ เป็นทุ่งริมทางที่สามารถเก็บภาพทุ่งดอกดาวเรืองพร้อมด้วยวัดปราสาทดินที่อยู่ด้านหลังได้ด้วย

ถ้ำแก้ว

ถ้ำแก้ว หรือ ถ้ำสุวรรณคูหา

ถ้ำแก้ว หรือ ถ้ำสุวรรณคูหา

ถ้ำแก้ว ตั้งอยู่ภายในบริเวณวัดถ้ำแก้ว ตำบลแหลมทอง อำเภอภักดีชุมพล จังหวัดชัยภูมิ ซึ่งถ้ำแก้วนั้นสถานที่ตั้งอยู่ห่างจากถ้ำพระประมาณ 2 กม.เท่านั้น ลักษณะของถ้ำคล้ายห้องโถงลึกลงไปในภูเขา บรรยากาศเย็นและชื้นตลอดเวลา มีไฟฟ้าให้แสงสว่างภายในถ้ำ จากปากถ้ำมีทางเดินลงลึกไปถึงด้านล่าง ซึ่งมีพระพุทธรูปประดิษฐานอยู่ และมีหินย้อยอยู่ตามผนังถ้ำ เมื่อต้องแสงเกิดเป็นประกายแวววาวสวยงาม ส่วนด้านนอกของถ้ำก็เป็นที่แวะจอดพักรถยนต์และชมทิวทัศน์ข้างทาง มีร้านขายของท้องถิ่น นอกจากนี้ที่นี้ยังมีเส้นทางเดินเท้าศึกษาธรรมชาติสำหรับนักท่องเที่ยวที่มีเวลาน้อยได้เดินชมทุ่งบัวสวรรค์ขนาดเล็ก ๆ และเดินศึกษาธรรมชาติเองอีกด้วย
การเดินทาง จากอำเภอภักดีชุมพลไปทางทิศเหนือ 9 กิโลเมตร ตามทางหลวง 2359 ถึงบ้านซับเจริญมีทางเลี้ยวซ้ายไปอีก 5 กิโลเมตรจะถึงวัดถ้ำแก้ว

ประเพณีตีคลีไฟ

ประเพณีตีคลีไฟ หนึ่งเดียวในโลก

ประเพณีตีคลีไฟ หนึ่งเดียวในโลก

ประเพณีตีคลีไฟ เป็นประเพณีไทยจากภูมิปัญญาท้องถิ่น จัดให้มีขึ้นมาแต่โบราณ โดยได้แนวคิด มาจากการตีคลีของพระสังข์กับพระอินทร์ในวรรณคดี เรื่อง สังข์ทอง การตีคลีไฟเป็นวิธีการแก้ปัญหาการขาดเครื่องนุ่งห่มในสมัยก่อน หน้าหนาวจะหนาวมาก พวกผู้ชายจะออกมาที่สนามหน้าลานบ้านแล้วมาร่วมเล่นตีคลีไฟกับพวกผู้หญิง ๆ จะเป็นผู้เผาลูกคลีไฟ ทำให้หายหนาวได้ และเป็นการสร้างความสามัคคีให้ แก่คนในหมู่บ้านอย่างชาญฉลาด โดยการตีคลีไฟ เป็นหนึ่งในประเพณีไทยเพื่อการสืบทอดมรดกทางวัฒนธรรม ให้การเล่นดังกล่าว ได้รับการถ่ายทอดจากคนรุ่นหลัง ผู้เป็นต้นเค้าการเล่นครั้งแรก คือ นายหล้า วงษ์นรา ผู้ใหญ่บ้านหนองเขื่อง ตำบลกุดตุ้ม อำเภอเมือง จังหวัดชัยภูมิ เริ่มเล่นครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. ๒๔๖๘ ซึ่งเป็นปีแรกที่ตั้งหมู่บ้านหนองเขื่อง ที่เพิ่งแยกตัวมาจากบ้านกุดตุ้ม และสืบสานต่อคนหนุ่มในบ้านหนึ่ง ไปยังอีกหมู่บ้านหนึ่ง ถือว่าตีคลีไฟ เป็นประเพณีของหลายหมู่บ้าน ในละแวกเดียวกัน ใช้เชื่อมความสัมพันธ์ของคนในหมู่บ้าน และได้สืบสานต่อเยาวชนคนรุ่นใหม่ให้รัก และอนุรักษ์กีฬาตีคลีลูกไฟ ซึ่งจะเล่นกันในฤดูหนาว ช่วงพระอาทิตย์ลับฟ้า และเพื่อให้เกิดความ สวยงาม และช่วยให้ร่างกายอบอุ่น ถือเป็นการวัดใจของผู้ชายอย่างแท้จริง เพราะเป็นความสมัครใจในการเล่น

ตีคลีไฟเป็นประเพณีไทย ที่เล่นกันช่วงฤดูหนาวหลังออกพรรษา ประกอบด้วยผู้เล่นข้างละ ๑๑ คน ชาวบ้านจะใช้ไม้จากต้นหนุนแห้งมาตัดเป็นท่อนแล้วเผาไฟจนกลายเป็นถ่าน ให้ผู้เล่นใช้ไม้ซึ่งทำจากไม้ไผ่หัวขวานลักษณะคล้ายไม้กอล์ฟ ตีเข้าประตูของฝ่ายตรงข้าม ทีมใดที่สามารถตี ลูกคลีไฟเข้ามากกว่าจะเป็นฝ่ายชนะ ซึ่งชาวบ้านหนองเขื่อง จะเล่นกันมานาน เป็นกีฬาพื้นบ้านที่จัดให้มีการแข่งขันในช่วงเทศกาลออกพรรษา ของทุกปี ซึ่งนับเป็นประเพณีไทยอีกหนึ่งการละเล่นที่สามารถรับชมได้ที่ บ้านหนองเขื่อง ต.กุดตุ้ม อ.เมือง จ.ชัยภูมิ แห่งเดียวเท่านั้น

เรื่องราวเริ่มต้นของประเพณีตีคลีไฟ เกิดขึ้นเพราะความบังเอิญ โดยสมัยก่อนจะมีการก่อกองไฟแก้หนาวในช่วงพลบค่ำ วันหนึ่งระหว่างที่มีการเล่นตีคลี บังเอิญลูกคลีเกิดกลิ้งเข้าไปในกองไฟแล้วติดไฟ แต่ด้วยความสนุกและไม่อยากหยุดเล่น ชาวบ้านจึงตีคลีกันต่อทั้งที่ติดไฟ แต่พอตีแล้วเห็นเป็นแสงไฟสวยงาม ทำให้ถูกนำมาเล่นกันเป็นประจำ                 ประเพณีตีคลีไฟ จะจัดขึ้นเป็นประจำทุกปีในช่วงเดือน พฤศจิกายนหรือธันวาคม ณ วัดแจ้งสว่าง บ้านหนองเขื่อง ต.กุดตุ้ม อ.เมือง จ.ชัยภูมิ ผู้ที่สนใจกีฬาพื้นบ้านแบบนี้ก็สามารถไปชมได้ที่วัดแจ้งสว่าง ซึ่งนอกจากการแข่งขันตีคลีไฟแล้ว ก็ยังมีกีฬาพื้นบ้านอื่นๆ อาทิ แข่งเรือ ชกมวยทะเล ให้ได้ร่วมสนุกสนานด้วย

ประเพณีแห่เทียนพรรษา

ประเพณีแห่เทียนพรรษา จ.ชัยภูมิ

ประเพณีแห่เทียนพรรษา จ.ชัยภูมิ

ประเพณีแห่เทียนพรรษา ก่อนถึงวันเข้าพรรรษา (วันแรม 1 ค่ำ เดือน 8 ของทุกปี ) พุทธศาสนิกชนชาวไทยจะถือโอกาสเข้าวัดทำบุญ ถวายเทียนพรรษา ตามวัดวาอารามต่างๆ ถึงแม้ว่าปัจจุบันการถวายเทียนได้ถูกปรับเปลี่ยนให้มีความเหมาะสมกับเหตุการณ์ เป็นการถวายหลอดไฟฟ้าแทนแล้วก็ตาม การถวายเทียนพรรษาก็ยังคงอยู่คู่กับสังคมไทยในฐานะประเพณีแห่เทียนพรรษา งานประเพณีแห่เทียนพรรษา เป็นประเพณีทางพุทธศาสนาของชาวไทย ชาวชัยภูมิก็ได้ร่วมกันจัดประเพณีนี้มาอย่างยาวนาน ถือเป็นงานบุญที่ยิ่งใหญ่ที่สุดงานหนึ่งทีเดียว สมัยก่อน ในช่วงเทศกาลเข้าพรรษา พระภิกษุสงฆ์จะจำพรรษาอยู่ ณ วัดใดวัดหนึ่งตลอด 3 เดือน เพื่อศึกษาพระธรรมวินัย สวดมนต์ทำวัตรเช้าเย็น ในการศึกษาพระธรรมคำสอนจำเป็นต้องอาศัยแสงสว่างจากตะเกียงหรือแสงเทียน ชาวบ้านที่ศรัทธาในพระพุทธศาสนาก็จะนำเทียนที่มีอยู่ในบ้านออกมารวมกัน หล่อให้เป็นเทียนขนาดใหญ่ แล้วจัดขบวนฟ้อนรำแห่ต้นเทียนไปถวายแด่พระภิกษุสงฆ์ตามวัด ด้วยความเชื่อที่ว่าผู้ใดถวายเทียนพรรษาแด่พระภิกษุสงฆ์ ชีวิตจะสว่างไสวดุจแสงเทียน
โดยเทียนที่จะนำไปถวายตามวัดมีมีลักษณพิเศษกว่าเทียนทั่วไปคือ มีการแกะสลักลวดลายที่วิจิตรงดงามลงบนต้นเทียน หรือการพิมพ์ลายเทียนแล้วนำไปประดับบนต้นเทียน การประดับตกแต่งขบวนแห่ด้วยผ้าฝ้าย ผ้าไหม ดอกไม้สด เรียกได้ว่างานประเพณีแห่เทียนพรรษาเป็นงานประเพณีที่รวมเอาภูมิปัญญาชาวบ้านแขนงต่างๆ ในท้องถิ่นมาไว้ด้วยกัน เช่น งานหล่อเทียน งานแกะสลักลวดลายไทย งานประดับผ้าไหม ดอกไม้สด งานทอผ้าพื้นเมืองสำหรับเครื่องแต่งกายขบวนฟ้อนรำ การฟ้อนรำ เครื่องดนตรีประจำท้องถิ่น ฯลฯ
นอกจากนี้ งานประเพณีแห่เทียนพรรษายังแฝงไว้ด้วยกุศโลบายที่ต้องการเห็นความสามัคคีของคนในชุมชน การร่วมมือร่วมใจกัน การมีส่วนร่วมในสังคม วัยหนุ่มสาวมีโอกาสได้มาร่วมด้วยช่วยกัน เป็นลูกมือช่างในการตกแต่งต้นเทียน ร่วมกันอนุรักษศิลปวัฒนธรรมท้องถิ่นอย่างการฟ้อนรำที่เลียนแบบ ดัดแปลงท่วงท่ามาจากวิถีชีวิต การประกอบอาชีพ ไม่ว่าจะเป็นการรำเซิ้งต่างๆ เช่น เซิ้งกระติบ เซิ้งแหย่ไข่ดอง เครื่องดนตรีที่ใช้ประกอบการฟ้อนรำ เช่น โปงลาง แคน ที่ได้คนรุ่นเก่าถ่ายทอดความรู้ให้กับคนรุ่นใหม่ มีการถ่ายทอดเนื้อร้อง จังหวะที่สนุกสนาน ครื่นเครง จนทำให้งานประเพณีแห่เทียนเป็นงานประจำปีที่หลายคนตั้งตารอ
สำหรับจังหวัดชัยภูมิก็จะมีการแกะหรือหล่อเทียนพรรษากันตามชุมชนต่างๆ เมื่อถึงวันก่อนแห่เทียนพรรษา ก็จะนำรถเทียนที่ทำเสร็จสิ้นแล้ว มาจอดแสดงให้ประชาชนได้เข้าชม ณ บริเวณลานอเนกประสงค์ เทศบาลเมืองชัยภูมิเป็นประจำทุกปี โดยจะมีการจุดพลุสวยงาม และจะแห่อย่างยิ่งใหญ่รอบเมืองในวันถัดไป